ผมเกิดมาในครอบครัวที่รวยเกินจริง นิยายหลายเรื่องที่พยายามปั้นตัวละครให้รวยล้นฟ้า เป็นมหาเศรษฐี ยังไม่ได้ครึ่งบ้านผมหรอก ด้วยความที่ครอบครัวผมรวยจัด พ่อกับแม่ก็เลยปลูกบ้านซะหลังโต ตั้งแต่ผมเกิดมา ผมก็เห็นเจ้าคฤหาสหลังยักษ์นี่แล้ว แต่เชื่อมั้ย ว่าผมยังไม่เคยได้เข้าไปอยู่ซักครั้ง
เหอะๆๆๆ ก็ตอนที่พ่อแม่ปลูกบ้านหลังนั้น ยายบอกว่าหมดเงินไปเกือบร้อยล้าน มีแค่สองเหตุผลที่ผมรู้ว่าทำไมพ่อกับถึงตัดสินใจปลูกบ้านหลังยักษ์นี่ อย่างแรกเลยเพราะเอาไว้เชิดหน้าวงศ์ตระกูล เหตุผลที่สองคือเป็นของขวัญวันผมเกิด
เงินที่ใช้ปลูกบ้าน ดึงมาจากรายได้และทรัพสมบัติที่มีของบริษัท หนังกะติก จำกัด กว่า 80% บ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างเกือบสามปี สองปีแรกที่สร้าง เงินยังคงไหลเข้าบริษัทไปด้วยดี หนังกะติ๊กวงกลมสีแดง ถูกจำหน่ายออกวันละหลายสิบตัน รวมเป้นเงินหลายล้านทีเดียว
แต่พอบ้านใกล้สร้างเสร็จนะซิครับ ปัญหามันมาแล้ว บริษัทของเราไฟไหม้! ตอนนั้นผมแค่สามขวบเอง ตอนนี้ผมแทบจำอะไรไม่ได้แล้ว เวลานึกถึงเรื่องวันนั้น ผมนึกได้แค่ภาพลางๆสีขาว-ดำ ภาพแม่วิ่งกรี๊ดไปมา/ภาพพ่อร้องตะโกนให้คนงานช่วยกันดับไฟ แต่ไม่มีใครฟังซักคน ทุกคนต่างโกยขาหนีกันหมด และอีกภาพหนึ่ง คือยายของผม ที่นั่งคุกเข่าหน้าศาลพระภูมิ ในมือพนมถือธูปยาวปล่อยควันเท่ากลิ่นแสบจมูก ปากก็สวดพืมพำ ส่วนผมได้แต่ยืน "หัวเราะ" เพราะรู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น
พอโตขึ้นมาความรู้สึกสนุกของผมมันหายไปแล้ว พ่อกับแม่ไม่เหลือบริษัทอีกต่อไป คนงานก็ไม่มี เงินที่เหลือจากการสร้างบ้านต้องเอามาจ่ายเป็นค่าทดแทนให้พนักงาน สุดท้ายเราก็หมดตัว เหลือเพียงแค่คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ภายในมีเฟอร์นิเจอร์แค่จำเป็น กับเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่ชนิด
ระหว่างรอบ้านสร้างเสร็จ พ่อพาพวกเราไปอยู่บ้านปู่ที่อำเภอท่าแร่-หนองแสง และช่วยคนทางโน้นชำแหละหมาขาย ส่งออกเวียดนามกับเกาหลี
วันนึงก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรมาหาแม่
"สวัสดีครับ คุณเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 69/69 ซอยกลากิณี12 ใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ" แม่ตอบเสียงอึ้ง "ไม่ทราบจากไหนค่ะ"
"เอ่อ...ผมโทรจากบริษัทดูกันมันส์ครับ คือว่าอยากติดต่อขอเช่าบ้านคุณถ่ายละครอะครับ"
"หา!... "คุณปู่ที่กำลังง้างอีโต้ง เล็งคอหมา ตกใจสับมีดลงจนฟันเอานิ้วตัวเอง โอ้ย ฉิบหาย ช่วยทีกูนิ้วขาด!
กระนั่นแม่ยังคงแนบหูกับโทรศัพท์แล้วเดินหนีเสียงดังวุ่นวาย
"แต่บ้านยังไม่เสร็จนะค่ะ"
"ครับผม เรายังไม่ถ่ายตอนนี้ครับ จะรอบ้านคุณเสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะเริ่มเปิดกล้อง" เขาพูดเสียงสดใสมาก จนแม่แอบยิ้มไม่ไหว
"แล้วจะให้ค่าเช่าเท่าไรค่ะ"
"คุณอยากได้เท่าไรละครับ"
แม่อึ้ง...นี่เล่นให้เราเสนอราคาเองเลยเหรอ บ้านเราก็ใหญ่ขนาดนี้ ล้านนึงก็คงไม่น่าเกลียดมั้ง
"งั้นฉันขอหนึ่งล้านบาทค่ะ"
"อะไรนะครับ! เพิ่งอีกหน่อยก็ได้นะ ผมให้คุณสองล้านก็แล้วกัน โอเคมั้ยครับ"
ผมสังเกตเห็นขาแม่เริ่มบิดไปมา เลยนึกว่าแม่น่าจะปวดฉี่ แต่ทำไมหน้าแกถึงยิ้มอะไรซะขนาดนั้น จนในที่สุด...แม่ก็เหยี่ยวแตก!
"ได้ค่ะ ยินดีเลย แล้วติดต่อมานะค่ะ...." แล้วชายหนุ่มก็วางสายไป
แม่กำโทรศัพท์อยู่นาน สีหน้าบ่งบอกความอัดอั้นอย่างที่สุดก่อนจะกรี๊ดเพราะดีใจจัง แล้วค่ายบางระจันของแม่ก็แตก นายทองก้อนวิ่งพรวดออกมาพร้อมกลิ่น
เหอะๆๆๆ ก็ตอนที่พ่อแม่ปลูกบ้านหลังนั้น ยายบอกว่าหมดเงินไปเกือบร้อยล้าน มีแค่สองเหตุผลที่ผมรู้ว่าทำไมพ่อกับถึงตัดสินใจปลูกบ้านหลังยักษ์นี่ อย่างแรกเลยเพราะเอาไว้เชิดหน้าวงศ์ตระกูล เหตุผลที่สองคือเป็นของขวัญวันผมเกิด
เงินที่ใช้ปลูกบ้าน ดึงมาจากรายได้และทรัพสมบัติที่มีของบริษัท หนังกะติก จำกัด กว่า 80% บ้านหลังนี้ใช้เวลาสร้างเกือบสามปี สองปีแรกที่สร้าง เงินยังคงไหลเข้าบริษัทไปด้วยดี หนังกะติ๊กวงกลมสีแดง ถูกจำหน่ายออกวันละหลายสิบตัน รวมเป้นเงินหลายล้านทีเดียว
แต่พอบ้านใกล้สร้างเสร็จนะซิครับ ปัญหามันมาแล้ว บริษัทของเราไฟไหม้! ตอนนั้นผมแค่สามขวบเอง ตอนนี้ผมแทบจำอะไรไม่ได้แล้ว เวลานึกถึงเรื่องวันนั้น ผมนึกได้แค่ภาพลางๆสีขาว-ดำ ภาพแม่วิ่งกรี๊ดไปมา/ภาพพ่อร้องตะโกนให้คนงานช่วยกันดับไฟ แต่ไม่มีใครฟังซักคน ทุกคนต่างโกยขาหนีกันหมด และอีกภาพหนึ่ง คือยายของผม ที่นั่งคุกเข่าหน้าศาลพระภูมิ ในมือพนมถือธูปยาวปล่อยควันเท่ากลิ่นแสบจมูก ปากก็สวดพืมพำ ส่วนผมได้แต่ยืน "หัวเราะ" เพราะรู้สึกสนุกกับกิจกรรมที่เกิดขึ้น
พอโตขึ้นมาความรู้สึกสนุกของผมมันหายไปแล้ว พ่อกับแม่ไม่เหลือบริษัทอีกต่อไป คนงานก็ไม่มี เงินที่เหลือจากการสร้างบ้านต้องเอามาจ่ายเป็นค่าทดแทนให้พนักงาน สุดท้ายเราก็หมดตัว เหลือเพียงแค่คฤหาสน์หลังใหญ่ ที่ภายในมีเฟอร์นิเจอร์แค่จำเป็น กับเครื่องใช้ไฟฟ้าไม่กี่ชนิด
ระหว่างรอบ้านสร้างเสร็จ พ่อพาพวกเราไปอยู่บ้านปู่ที่อำเภอท่าแร่-หนองแสง และช่วยคนทางโน้นชำแหละหมาขาย ส่งออกเวียดนามกับเกาหลี
วันนึงก็มีโทรศัพท์เบอร์แปลกๆโทรมาหาแม่
"สวัสดีครับ คุณเป็นเจ้าของบ้านเลขที่ 69/69 ซอยกลากิณี12 ใช่ไหมครับ"
"ใช่ค่ะ" แม่ตอบเสียงอึ้ง "ไม่ทราบจากไหนค่ะ"
"เอ่อ...ผมโทรจากบริษัทดูกันมันส์ครับ คือว่าอยากติดต่อขอเช่าบ้านคุณถ่ายละครอะครับ"
"หา!... "คุณปู่ที่กำลังง้างอีโต้ง เล็งคอหมา ตกใจสับมีดลงจนฟันเอานิ้วตัวเอง โอ้ย ฉิบหาย ช่วยทีกูนิ้วขาด!
กระนั่นแม่ยังคงแนบหูกับโทรศัพท์แล้วเดินหนีเสียงดังวุ่นวาย
"แต่บ้านยังไม่เสร็จนะค่ะ"
"ครับผม เรายังไม่ถ่ายตอนนี้ครับ จะรอบ้านคุณเสร็จเรียบร้อยก่อนถึงจะเริ่มเปิดกล้อง" เขาพูดเสียงสดใสมาก จนแม่แอบยิ้มไม่ไหว
"แล้วจะให้ค่าเช่าเท่าไรค่ะ"
"คุณอยากได้เท่าไรละครับ"
แม่อึ้ง...นี่เล่นให้เราเสนอราคาเองเลยเหรอ บ้านเราก็ใหญ่ขนาดนี้ ล้านนึงก็คงไม่น่าเกลียดมั้ง
"งั้นฉันขอหนึ่งล้านบาทค่ะ"
"อะไรนะครับ! เพิ่งอีกหน่อยก็ได้นะ ผมให้คุณสองล้านก็แล้วกัน โอเคมั้ยครับ"
ผมสังเกตเห็นขาแม่เริ่มบิดไปมา เลยนึกว่าแม่น่าจะปวดฉี่ แต่ทำไมหน้าแกถึงยิ้มอะไรซะขนาดนั้น จนในที่สุด...แม่ก็เหยี่ยวแตก!
"ได้ค่ะ ยินดีเลย แล้วติดต่อมานะค่ะ...." แล้วชายหนุ่มก็วางสายไป
แม่กำโทรศัพท์อยู่นาน สีหน้าบ่งบอกความอัดอั้นอย่างที่สุดก่อนจะกรี๊ดเพราะดีใจจัง แล้วค่ายบางระจันของแม่ก็แตก นายทองก้อนวิ่งพรวดออกมาพร้อมกลิ่น